เทศน์เช้า

กระแสนอก กระแสใน

๒๖ เม.ย. ๒๕๔๑

 

กระแสนอก กระแสใน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๑
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันปลุกได้ มันสร้างได้ไง กระแสทางโลกเขานี่ คำว่ากระแสมันเป็นสิ่งที่ปลุก มันสร้างขึ้นมา สร้างกระแส เห็นไหม อย่างเช่นม็อบนี่เขาสร้างกระแสขึ้นมา ทีนี้คำว่ากระแส เราใช้คำว่ากระแส กระแสดีก็มี กระแสผิดก็มี กระแสถูกก็มี ม็อบที่ว่าเรียกร้องในสิ่งที่ถูก ม็อบเวลามันเรียกร้องนี่เรียกร้องในสิ่งที่ถูกก็มีอยู่ แต่เรียกร้องสิ่งที่ไม่ถูกก็มีอยู่ แต่ขณะเรียกร้องสิ่งที่ถูก เห็นไหม นักการเมืองยังเอาไปใช้เป็นข้อต่อรอง นี่กระแส

ก็เหมือนว่าเวลาความคิดของเรา เราคิดดีคิดชั่วมันก็มี คิดถูกก็มี เวลาคิดถูกมันอยู่ไม่ได้ ไอ้กิเลสตัวยุแหย่นี่ไงกระแส คำว่ากระแส กระแสหมายถึงว่ามันไม่แน่นอน กระแสคือเรื่องไม่จริง คิดถูกน่าจะเป็นเรื่องจริงสิ ถ้าคิดถูกแล้วต้องเป็นเรื่องจริง ทำไมมันเป็นเรื่องไม่จริงล่ะ? เพราะว่ามันเป็นการสร้างได้ สิ่งที่สร้างได้ เห็นไหม กระแส แล้วโลกมันเป็นแบบนั้นไง

ทีนี้พอโลกเป็นแบบนั้น กระแสมันสร้างขึ้นมาให้คนหลงไง เหมือนเราเป็นเหยื่อไง เราเป็นเหยื่อของกระแส ปลุกม็อบขึ้นมา สร้างกระแสขึ้นมา แล้วก็ให้เราเข้าไปอยู่ในกระแสนั้น เวลาม็อบเกิดขึ้นมา ความบ้าคลั่งของฝูงชน ทำให้ปัจเจกชนหรือคนๆ เดียวไม่สามารถจะยับยั้งได้ เราไม่สามารถเป็นตัวของเราเองเลยนะ เวลาเราไปอยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้นมันจะสร้างกระแสแล้วก็ลากเราไปนะ เราก็เฮตามกันไป ผิดถูกไม่รู้ เพราะไม่สามารถมีความคิดของตัวเองได้ นี่กระแส

พอเวลาใครสามารถปลุกกระแสได้ สร้างกระแสได้ แต่คนจะสร้างได้เขาก็ต้องมีฝีมือมากนะ กว่าจะสร้างกระแสได้ต้องปลุกระดมเป็นปีๆ นะ วางมา ปลุกระดมมาเป็นปีๆ ความเชื่อไง ให้คนคล้อยตามให้เป็นความบ้าคลั่ง เห็นไหม ถึงว่ากระแสนี้ไม่จริงไง

ฉะนั้น พอเวลาข่าวมา ทำไมมีข่าว? ทำไมมีข่าว? มี ก็มันสร้างได้ ถึงว่าข่าวนั้นไม่จริง มันไม่ใช่ไม่มี มี แต่เราไม่เชื่อไง กระแสนี่ เพราะกระแสเป็นโลกไง เป็นความเป็นไปที่พิสูจน์กันได้ ถึงบอกว่ากระแส ทีนี้พอชักเข้ามากระแสภายในของเรา เห็นไหม ความคิดที่เกิดขึ้นจากภายในของเรา เราก็ยังเชื่อตัวเองไม่ได้เลย

อันนี้เชื่อตัวเองไม่ได้มันเป็นกิเลส มันก็เข้าได้กับสิ่งที่จอมปลอมข้างนอก สิ่งจอมปลอมข้างใน เพราะเราพยุงตัวเองไม่ได้ มันก็เข้าสิ่งจอมปลอมข้างนอก ฉะนั้น ถึงว่าชำระกิเลส ชำระกระแส กระแสนี้ผ่านอะไร? ก็ผ่านสื่อ ผ่านสื่อคือขันธ์ไง ขันธ์ ๕ คือขันธ์ ๕ ไปกองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ ไอ้นี่มันเป็นสื่อ หมายถึงว่ามันเป็นเครื่องมือ เหมือนกับสายไฟฟ้ากับกระแสไฟฟ้า กระแสไฟต้องผ่านสายไฟฟ้า

นี่ขันธ์ ๕ ความคิดมนุษย์เป็นธรรมชาติที่มันมี เป็นธรรมชาติ เป็นข้อเท็จจริงที่มันต้องคิด ธรรมชาติของธาตุรู้มันต้องคิดอย่างนั้น กระแสที่ผ่านธรรมชาติของข้อเท็จจริงอันนี้ มันก็มีกิเลสที่ว่าจริงหรือไม่จริงไง เห็นไหม ฉะนั้น เราย้อนกลับเข้าไป เราก็ตัดให้มันสั้นเข้าๆ ตัดสั้นเข้าต้องจับตัวสื่อ จับตัวสื่อแล้วก็ดูกระแส เพราะกระแสผ่านสื่อใช่ไหม?

การใช้สื่อ การใช้กระแส ฉะนั้น กระแสหมดไปสื่อยังอยู่ คือตัวขันธ์ ตัวความคิดมันยังมีอยู่ แต่ไอ้ความคิดที่เจือด้วยความผิดอันนั้นไง ฉะนั้นถึงว่าขันธ์หรือว่าความคิดมันมีอยู่ใช่ไหม? แต่ไอ้กิเลสที่ย้อนมาในความคิด คือว่ากิเลสมันเข้ามามันอาศัยความคิดเป็นเครื่องดำเนินไง มันเหมือนกับมันเจือมาด้วย มันเจือมาตลอด เห็นไหม ถึงเรียกอนุสัยไง

อนุสัยเครื่องดองสันดานมันอยู่ในหัวใจ มันจะดองออกมาตลอด ทีนี้เราย้อนกลับๆ เพราะถ้าเราชำระกระแสหรือเราชำระกิเลสของเราได้ปั๊บ ไอ้กระแสข้างนอกเราเห็นความบ้าคลั่งแล้วมันสลดสังเวชไง แต่ถ้าเราไม่ได้กำจัดกิเลสหรือไม่ได้กำจัดความเป็นจริงภายในของเราก่อน เราเห็นสภาพข้างนอกเราก็โดนเขาปั่น แล้วเราจะเป็นเหยื่อของเขา แล้วเราจะเข้าไปในฝูงชนนั้น แล้วเราจะไม่เป็นตัวของตัวเอง โดนกระแสมันครอบงำ

เพราะเรามีเชื้ออยู่ภายใน เห็นไหม ขั้วบวกและขั้วลบ ไฟฟ้าสถิตมันเข้ากัน แล้วมันทำงานของมันไปได้เลย ฉะนั้น ถึงว่าถ้าเราจะไปแก้ข้างนอกพระพุทธเจ้าบอกว่าเหนื่อยเปล่าเลย พระพุทธเจ้าสอนให้กลับมาแก้ข้างในก่อน แต่ทางโลกต้องโลกเจริญก่อน ให้เรามีกินมีใช้แล้วคนจะเป็นคนดี คนนี่ขาดเพราะความมีกินมีใช้ ขาดปัจจัย ๔ ต้องสร้างปัจจัย ๔ ให้พอเพียง พอเพียงขึ้นมาแล้วคนจะอยู่ด้วยความเป็นสุข

แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าปัจจัย ๔ ถึงจะทุกข์ขนาดไหนก็แล้วแต่ ถ้าหัวใจเราสร้างคุณงามความดีขึ้นมาแล้ว อันนั้นเราจะเจือจาน เราจะแบ่งสรรได้ เราจะแบ่งสรรไง เพราะเราต้องดูตรงนี้ก่อน ความตระหนี่ ความมักง่าย สิ่งที่ควรจะพอมันก็ทำให้ไม่พอ เห็นไหม สิ่งที่ควรจะพอนะ ควรจะแบ่งสรรได้มันก็แบ่งสรรไม่ได้ เพราะว่ามันตระหนี่ มันดึงเอาไว้นี่ตัวกระแสภายใน นี่ชำระกระแสภายใน คำว่ากระแสไง

กระแสนี่มันถึงว่าเราพูดเมื่อคืน เห็นไหม กระแสดีก็มี คำว่ากระแสดี ความคิดที่เป็นมรรค แต่มันก็โดนไอ้นักการเมืองเอาไปใช้ประโยชน์ไง พอคิดดีก็ว่าเดี๋ยวเอาไว้พรุ่งนี้ก่อนน่า นี่กิเลสมันเริ่มใช้แล้ว กระแสดีแต่กิเลสยังมีอยู่ ทีนี้คำว่ากระแสเป็นกิเลสทั้งหมดก็ไม่ใช่ เพราะกิเลสมันเกิดดับๆ ไง เราจะเอานามธรรมให้เป็นรูปธรรมโดยตายตัวไง

ที่พูดนี้พูดเพื่อสื่อไง สื่อให้เข้าใจ แล้วเราจะย้อนกลับไปจับได้ไง พอใครจับได้ กระแสไม่เหมือนกันนะ กระแสเอ็งสีเขียวๆ กระแสข้าสีขาวๆ กระแสเอ็งสีดำๆ เพราะต่างคนต่างจับได้ไง แล้วทำไมกระแสไม่เหมือนกันล่ะ? เห็นไหม กิเลสไม่เท่ากัน แต่สื่อออกมาเพื่อความหมายเพื่อจะย้อนกลับ ย้อนกลับไปชำระกิเลสไง ย้อนกลับไปจับไอ้ตัวนามธรรม ไอ้ตัวเจ้าวัฏจักร นี่ถึงว่าหดย่นเข้ามา มันจะหดย่นเข้ามา

จากที่มันอาศัยสื่อผ่าน อาศัยสื่อนี้เป็นเหยื่อออกมากินไง ออกมาตับกินปอดเรา เราพยายามพิจารณาเข้าไปๆ มันย่นเข้าไป ย่นเข้าไป เห็นไหม อาจารย์มหาบัวใช้คำนี้เลยนะ ท่านพูดบ่อยแล้วเราซึ้งมาก ว่ามันหดจนเข้าถ้ำไง ทีแรกมันก็ออกมาหมดเลย เห็นไหม ออกมาหู ตา ลิ้น จมูก กาย ใจ แล้วหดเข้าไป พอพิจารณากายนี่เก้อๆ เขินๆ แล้ว แล้วออกมาทางนี้แล้ว นี่ออกมาทางกาย หดเข้ามาแล้ว ออกมาทางยึดในกาย หดเข้าไปอีกแล้ว ออกมาทางธาตุหดเข้าไป หดเข้าไปจนเหลืออยู่ในมโนไง อยู่ที่หัวใจ หดไปเข้าถ้ำ คือว่ามันหดเข้าถ้ำ มันหนี เพราะว่าตัดสื่อไง เห็นไหม ทำลายสื่อ ทำลายสื่อ แต่ทำลายมี เพราะเวลาที่ว่าทำลายที่มันหดสั้น เวลาวิปัสสนามันหดสั้นเพราะมันทันกัน แต่เวลาเราไม่ได้วิปัสสนามันก็ปกตินี่แหละ ออกมาเหมือนกัน ถึงว่ามีไง

เวลาเราออกมาเราต้องสื่อความหมายกับคนเขาทั่วไป พูดเหมือนกัน อะไรเหมือนกัน แต่เวลาวิปัสสนามันออกมาอย่างนี้เลย มันจะทันตลอดเลย ฉะนั้น เวลาขึ้นไปถึงตรงที่ว่ากามราคะ ช่วงที่ว่ารุนแรง จิตทันมันตลอด จะดื่ม จะกิน จะเคลื่อนไหว ขนาดกินข้าวอยู่นี่รู้ตลอด มันรู้ตลอดเลย ต้องขนาดนั้นเลย มันถึงว่าจะเข้าไปถึงภายในเพราะมันสั้นไง คำว่าหดสั้นๆ ไง

แต่ถ้าพูดถึงอย่างปุถุชนเราที่มันยืดยาวออกมาถึงเป็นปกติมันนี่ เห็นไหม กินข้าวไป ฟังเพลงไป ป้อนกันไป โอ๋ย มันยังเคลิ้มไป อย่าว่าสติเลย มันกินข้าวอยู่ มันไม่ได้กินข้าวอร่อยที่ข้าวนะ ตามันมองดนตรีนะ หูมันฟัง อู๋ย เพลงเสียงเพราะนะ ไม่รู้หรอกไอ้ที่อยู่ในปากนั้นรสเป็นอย่างไร? ต่างกันไหม กับที่ว่ากระแสมันหดสั้นเข้ามาแล้วมันรุนแรง มันจะรู้ทันหมดนะ

อ๋อ อันนี้อร่อย เห็นไหม อร่อยคายทิ้ง อ้าว อันไหนอร่อย อร่อยคายทิ้งเลย เพราะอะไร? เพราะอร่อยนี่ตัวกิเลสไง กระแสที่ว่าโดนกิเลสหลอกใช้ไง นี่กระแสดีกับกระแสไม่ดี แต่ถ้ามันเที่ยงแล้วกระแสดีหมดเลย เพราะเที่ยงแล้วหมายถึงว่า พอดับหมดแล้วความคิดนี้เหมือนกับหางจิ้งเหลนไง หางจิ้งเหลนขาด ความคิดนี่หลอกเราไม่ได้เลย ความคิดนี้หลอกจิตไม่ได้เลย

จิตนี้ไม่ใช่ความคิดนะ ตัวจิตตัวนั้นไม่ใช่ความคิด ความคิดนี้มันเป็นขันธ์ พอหางจิ้งเหลนมันเหมือนกับมันขาดกับจิตแล้ว พอมันมีความคิดขึ้นมาๆ มันกันไม่ได้เพราะหางจิ้งเหลน แต่ความคิดมันมีเพราะหางจิ้งเหลน หางจิ้งจกมันจะดิ้น นี่ความคิดมันคิดไปสิ แต่มึงไม่มีอำนาจเหนือข้าไง เพราะหางข้าขาดไปแล้วมันดิ้นอยู่ข้างนอกตัวข้า เพราะมันไม่ใช่ข้า คือมันหางของข้าแต่หลุดออกไป แต่มันอยู่กับเรา เห็นไหม ถึงสื่อนี้มีไง ใช้คำว่าทำลายสื่อ ทำลายสื่อ แต่ทำลายแล้วสื่อมี สื่อมีจนกว่าจะนิพพาน

เพราะพอสื่อมีหมายถึงว่าสอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ไง ยังมีสื่อนี้อยู่ไง แต่พอดับขันธ์ไปอันนี้ขาดแล้วไปอยู่ที่นิพพานไง สื่อนี้ไม่มีไง ถึงว่าสมมุติไม่มี นิพพานถึงว่าไม่มาได้อีกไง แต่ทำไมที่ว่าหลวงปู่มั่นว่าพระพุทธเจ้ามา ก็มานั่นไง หลวงปู่มั่นถาม พอหลวงปู่มั่นถามว่า “อ้าว ก็พระอรหันต์มาไม่ได้ แล้วมาได้อย่างไร?” แม้แต่ผู้เห็นยังสงสัย อ้าว ก็มาในสมมุติไง ก็ผ่านสื่อนี่ไง ผ่านหางจิ้งเหลนนี้มาไง เพราะหางจิ้งเหลนนี้คุยกับมึงได้ เพราะหางจิ้งเหลนนี้มันสื่อกันเองรู้เรื่องไง มันถึงได้ผ่านสื่อตรงนี้ไง

นี่ถึงว่าตัวนี้ถึงไม่มีอำนาจเหนือเราไง ถึงบอกความคิดนี้ถึงไม่มีอำนาจเหนือเรา ถึงว่าเป็นตัวของตัวเองไง ถึงไม่ตื่นเต้นกับกระแสข้างนอก ถึงว่าดับกระแส ตัดกระแส ทวนกระแส นี่กระแสจริงไง ไม่ใช่กระแสบ้าๆ อย่างนั้น นี่ถ้ารู้เท่าอันนี้ ตัวนี้แหละ นี้มันเทียบจากข้างนอกให้เห็นโทษ ถ้าข้างนอกนี่หลอกทั้งหมดเลย สมมุติทั้งหมดเลย ถึงจะเรียกร้องสิ่งที่ถูกมันก็ยังเอามาต่อรองกันเป็นการเมือง นี่กระแสข้างนอก

การโฆษณาสินค้าบางอย่างถูกต้อง ต้องใช้สอย เห็นไหม เสื้อผ้าต้องใช้สอยอยู่แล้ว นี่ปัจจัย ๔ แต่มันไม่ได้โฆษณาเสื้อผ้าหรอก มันโฆษณาแฟชั่น เสื้อมันสวยอย่างนั้น มันดีอย่างนั้น เราไม่ได้บอกว่าเสื้อนี้ใส่แล้วอบอุ่น ไม่ๆ งาม งามมาก มันไปลงตรงนั้นหมด มันไปลงที่ว่าสมมุติ ลงกิเลสไง ลงความหลอกลวงไง กิเลสคือความหลอกกันไปหลอกกันมา โฆษณาถึงจะจริง

เราจะใช้คำว่าถึงจะจริง เพราะอะไร? เพราะถ้าจะปฏิเสธทั้งหมดไม่ได้ เพราะปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย แล้วเราจะแก้ จิตต้องแก้จิตใช่ไหม? จะแก้กิเลสต้องเอาความคิด กิเลสก็เอาเข้าไปนั่นไง กระแสก็ต้องเอาตัวกระแสเข้าไปลบไง นี้เพียงแต่ไม่ลบข้างนอก ลบข้างในไง ลบข้างในเข้าไปๆ จนดับสิ้น พอเข้าใจมันก็จบไง นี่ตัวกระแส ถ้าหัวข้อมีเท่านี้แหละ แต่เวลาอธิบายนะ อธิบายวิธีการ มันก็เลยฟังแล้วยุ่งไปหมดเลย

พูดถึงหัวข้อนี่ก็ทำไม่ถูกนะ กำปั้นทุบดินนะ กำปั้นทุบดิน แต่เวลาพูดอย่างนั้นพูดหัวข้อ พูดวิธีการ พูดวิธีการที่จะเข้าไป ถึงว่ามันเป็นนามธรรม กิเลสนี้เป็นนามธรรม แต่มันเกิดดับๆ อยู่ที่ใจ ถ้าชำระออกแล้วเราเป็นอิสระ อิสรเสรีจากกิเลสมันจะสุขขนาดไหน? กับว่าตัวเองเก่งกล้าสามารถแต่เป็นขี้ข้า สามารถขนาดไหนก็ไม่รู้ ไอ้กิเลสมันอยู่ข้างหลังความสามารถของเรา มันใช้เรา เราไม่รู้สึกตัวเลย

จะเก่งกล้าจะสามารถขนาดไหน แต่กิเลสมันกล้ากว่า มันเก่งกว่า อย่างที่ตามตำราว่าไง จะเก่งกล้าขนาดไหนก็ต้องตายหมดนะ อยู่ใต้อำนาจของมัจจุราช อำนาจมัจจุราชยังอยู่ใต้กิเลสอีกทีนะ ทุกอย่างอยู่ใต้กิเลสทั้งหมดเลย ถึงเป็นเจ้าวัฏจักรไง เกาะอยู่บนหัวใจมนุษย์ หัวใจของสัตว์ที่เกิด ที่ยังเกิดยังดับอยู่ทุกๆ ดวงใจนั้น ทุกๆ ดวงใจที่มีเกิดมีดับอยู่นั้น เจ้าวัฏจักรมันมีอยู่มันถึงเรืองอำนาจ มันถึงสั่งให้เกิดดับอย่างนั้นได้ไง เพราะหลงตัวเอง

นี่ถึงว่าจะเก่งกล้าสามารถ จะฉลาดแค่ไหน ก็ไม่พ้นจากกิเลสไปได้ ไม่พ้นหรอก โลกนี้ไม่มีวันพ้น ฉะนั้น ธรรมะถึงประเสริฐมาก ถึงได้ว่าลึกมาก กว้างมาก ฉะนั้น เวลาอธิบายออกมาเป็นนามธรรมถึงได้อธิบายอย่างนั้น ถึงว่างงไง งง เพราะเป็นการคาดหมายด้วยความคาดหมาย ฟังสิ ฟังที่ว่าเก่งกล้าสามารถขนาดไหนยังแพ้กิเลส เพราะกิเลสมันอยู่ข้างหลัง แล้วเราจะพลิกจากความเก่งกล้า พลิกจากความฉลาดนั้น พลิกเข้าไปหามัน ถึงว่าเก่งขนาดไหนก็เหมือนแกล้งโง่ไง

ต้องแกล้งโง่ถึงจะเป็นสมาธินะ เก่งกล้าขนาดไหน ปัญญาขนาดไหน แล้วมันจะเป็นสมาธิไม่ได้เลย มันจะฟุ้งซ่านตลอด เห็นไหม ต้องเอาโง่เข้าไปแก้กับไอ้ความเก่งกล้าที่ว่าตัวเองกล้านี้ เพื่อจะให้มันจิตสงบ เพื่อจะให้มันเข้าไปหาตัวกิเลสนั้นไง เพื่อจะดูไอ้เจ้าวัฏจักรตัวนั้น ถึงว่านี่กระแส (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)